วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

ครูอาสา

นานแล้วที่ไม่ได้กลับมาเยี่ยมที่ปราจีน หลังจากปีใหม่ ที่ไปอยู่บนเขาใหญ่ มาคราวนี้เกิดจากเพื่อนชวนไปครูอาสาเพื่อสอนอาจารย์ที่โรงเรียนศึกษาพิเศษปราจีน ที่สมัยเรียนเคยเอาของไปให้ ทีแรกคิดว่าจะไปกันวันที่ 19 ก.ย. ซึ่งอีกวันสอบ Toefl เลยคิดว่าจะไม่ได้ไป แต่เลื่อนมาเป็นวันที่13 ก.ย. เลยไปได้ น้องที่ออฟฟิตอยากไปด้วยจึงชวน ทีแรกก็ชวนไปงั้นๆ กลับมาจริงๆ
การเดินทางเริ่มต้นโดยเจอกันที่เสาวรีย์เช่นเคย ฝนตก วันศุกร์รถติด น่าถอดใจกลับไปนอนยิ่งนัก แต่หักห้ามใจเอาวะ นานๆทีได้กลับไปที เจอกับป้อม เจ๋งที่ เสาวรีย์ ซัดก๋วยจั๊บแล้วก็นั่งแท๊กซี่ยาวไปเจอกับบอยที่ฟิวเจอร์รังสิต เพื่อจะได้อาศัยTitan เดินทางไป กว่าพลพรรคจะพร้อม ปาไป3ทุ่ม สมาชิกทั้งหมด มีเจ๊เอ๊ะ เจี๊ยบ บอย เจน ป้อม พี เจ๋ง 7 ชีวิตบน 1 รถกระบะ ตะคริวกินก้นไปหลายครั้ง กว่าจะถึงบ้านเจ๋ง(ศรีมหาโพธิ์)สำหรับคืนแรกนี้ก็เกือบเที่ยงคืน วันนี้ก็นอนเด็กบ้านหัวซากัน รุ่งขึ้นเช้าก็กินข้าวต้มฝีมือแม่เจ๋ง อัดไปสามชาม แล้วก็เดินทางสู่โรงเรียนโสตศึกษาปราจีนบุรี เมื่อก่อนจะมีชื่อว่าโรงเรียนศึกษาพิเศษปราจีนบุรี ซึ่งที่เปลี่ยนชื่อเพราะเด็กส่วนใหญ่พิการ หูหนวก เป็นใบ้ จากเมื่อก่อนจะมีเด็กพิเศษแบบหนังเรื่องช็อคโกแลต ซึ่งตอนนี้จะเหลือแค่ 8 คน เลยเปลี่ยนชื่อ

พิธีเปิดเป็นทางการมาก มีพิธีกรค่อยจัด จากที่ดูมีครูมาเรียนประมาณ 20กว่าคน เรื่องที่จะมาสอนกันวันนี้คือ Internet & E mail ที่แรกในใจก็กังวลมีคนที่ไม่รู้อินเตอร์เน็ตอยู่อีกหรือ อ.คงรู้กันหมดแล้ว ปรากฏว่าที่เคยใช้งานกันจริงๆมีอยู่ไม่มาก อาจเป็นเพราะเราอยู่กับพวกสังคมคอมกันมากจนไม่นึกว่าที่นี่ยังมีคนไม่รู้ เพราะคนรอบข้างก็มีแต่คนใช้คอม ขณะที่บรรยายก็มีการใช้ภาษามือไปด้วยเพราะว่า มีอ.บางคนก็เป็นอ.พิเศษด้วยเช่นกัน





จากนั้นก็เริ่มจากอ.เจ๋งกันเลย วิชา internet ส่วนพวกเราที่เหลือก็คอยเป็นStaff ช่วยอ.ที่ทำไม่ได้ หรือว่าไม่เข้าใจ

ง่วงครับเมื่อคืนก่อนมา นอนคนสุดท้ายห้องน้ำมีห้องเดียว กว่าจะได้อาบน้ำก็คนสุดท้ายเลย ตื่นแต่เช้ามาก็เลยต้องแว่บไปหากาแฟกิน เพื่อนตัวแสบก็แอบถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานว่าอู้


เที่ยงอ. ก็เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวเป็ด กินกันอิ่มหนำ แม้ว่าน้ำซุปจะไม่ค่อยร้อนก็ตาม อ.ที่นี่ยังจำเรากับป้อมได้แม้ว่าผ่านมา 4 ปีกว่า ที่เคยมาเลี้ยงขนมเด็กแล้วก็เอาอุปกรณ์กีฬาตอนนั้นจำได้ว่าเอาลูกบาสมาให้ นานมากขนาดนั้นแล้วมาเพียงไม่กี่ครั้งอ.ก็ยังจำได้ ก็รู้สึกดี ตกบ่ายมา เจี๊ยบสอน email กับ MSN อ.ก็สนุกกันใหญ่ ความแปลกใหม่ที่ได้รู้จักกัน อืมยังนึกอยู่นี่เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ เดี๋ยวอ.จะนั่ง chat ไม่ได้สอน ที่จริงแล้วทุกอย่างก็เหมือนที่รู้มีทั้งประโยชน์และโทษ ในความคิดถ้าอ.ที่นี่เล่นอินเตอร์เน็ตได้อย่างถูกต้อง คงท่องเว็บหาภาพสวยๆมาประกอบการเรียนการสอน หรือมีสื่อให้เด็กสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น ที่นี่มีเปิดสอนตั้งแต่ อนุบาลจนถึง ม.6 ทุกคนที่นี่ส่วนใหญ่แทบทั้งหมดอยู่แบบโรงเรียนประจำ พักอยู่ที่นี่เลย พ่อแม่ก็นานๆมาหาที เสร็จการสอนอ.ยังสนุกกันอยู่ แต่คงต้องปิดการสอนเพราะแพลนต่อไปเราจะไปกันที่อ่างเก็บน้ำวังบอน อยากไปพายเรือเล่น สอนเสร็จพิธีปิดมีประกาศนียบัตรด้วย พร้อมทั้งมีค่าวิทยากรให้อีกต่างหาก แต่พวกเราไม่รับเพราะว่ามาด้วยใจจริงๆ อ.เลยเอาเงินส่วนนั้นไปสร้างอาคารเรียน

เสร็จพิธี ถ่ายรูปหมู่ แล้วก็รีบไปอ่างเก็บน้ำกัน แต่พอไปถึงไม่ถึง5 นาที ฝนก็กระหน่ำลงมาแบบมืดฟ้ามัวดิน


วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2551

กลับมาย้อนดูความหลัง ยอดมนุษย์จังไรแมน กัน


นี่ก็ครบรอบ3 ปี ยอดมนุษย์จังไรแมน ตั้งแต่ อุบัติการณ์ยอดมนุษย์จังไรแมน เปิดตัวขึ้นเมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2548 หนูๆก็คงจะคิดถึงยอดมนุษย์ของเราพอดู วันก่อนส่งไปให้เพื่อนดู ส่วนใหญ่เขามักจะบอกพี่ ขำดีว่ะ ฮาดี นั่งหัวเราะคนเดียวเลย เห็นแล้วก็ปลื้มเป็นยิ่งนัก แล้ววันนี้ยอดมนุษย์ของเราก็ได้ออกมาเป็นภาคใหม่ให้ได้หายคิดถึง

ตุ่ง ตุง ตุ้ง
ฉ18

คำเตือน
รายการนี้ไม่เหมาะสำหรับเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18ปี อาจมีภาพและคำพูด การแสดงออกทางเพศ การกระทำที่ไม่เหมาะสม ผู้ใหญ่โปรดให้คำแนะนำ

เวลาผ่านไปสามปี......นับจากภาคอวสานยอดมนุษย์ ตามความเดิม หลังจากที่ยอดมนุษย์ได้เข้าสู่ด้านมืดของพลังแล้วโดนขบวนการแก๊งค์แห้วเรนเจอร์ ผนึกกำลังถล่มแล้วทำให้ยอดมนุษย์สูญเสียพลัง จนต้องหันไปถ่ายนู้ด (ย้อนไปดูที่ http://iti-ta04.pantown.com/ มุมซ้าย ยอดมนุษย์จังไร)
จนวันนี้ยอดมนุษย์จังไรแมนก็ได้มีคู่กับเขาสักที โดยนับจากวันนั้น ก็ใช้ชีวิตเหลวแหลก เอาแต่สังสรรค์เมาเหล้ากับเพื่อน




หลังจากวันนั้นก็เฝ้านึกถึงวันที่เคยผ่านมา เคยเป็นถึงยอดมนุษย์มีหนูๆชื่นชอบมากมาย แต่ทำไมต้องมาหลงสู่ด้านมืดของพลัง จนต้องมาเป็นบุคคลธรรมดาใช้ชีวิตเหลวแหลก เมาเละเทะ วันๆไม่ทำไรนั่งแชตกับสาวในเอ็ม โหลดหนังโป๊ผ่านbit จนกลายเป็นบุคคลอันตรายในด้านIT มีประกาศจับจากกระทรวงICT จนเครียดกินเหล้าเบียร์หัวราน้ำ








เมื่อวันเวลาผ่านไป เงินทองเริ่มหรอยหรอลง เงินค่าตัวจากทีมงานที่ส่งให้กับยอดมนุษย์ก็ไม่ส่งมา เคยคิดแม้กระทั่งจะเอาหมาน้อยมากิน เพื่อประทังความหิว ปรึกษากับเพื่อนว่าจะกินตัวไหนดี







คิดไว้ว่าจะถอยกระบะสักคันมาไว้ขนเนื้อสดไปขาย หรือคิดว่าจะดัดแปลงเป็นพาหนะ ไรเดอร์อีกดี จะกลับมาเป็นยอดมนุษย์ได้อีกมั้ย

ตอนนี้ก็คิดอยู่ว่าหรือจะไปหาที่สงบเงียบบรรยากาศดีๆ หรือจะหาวิธีผลิตจังไรบอยน้อยๆ ออกมาเพื่อมวลมนุษยชาติกันต่อไปดี คิดไม่ตกสักที



สุดท้ายนี้บทสรุปของยอดมนุษย์จะลงเอยอย่างไร หนูๆก็คงต้องติดตามกันต่อไป ช่วงนี้แถมท้ายด้วยภาพน่ารักๆของจังไรแมนเป็นของขวัญวันสงกรานต์กันอีกเช่นเคยครับ เดินทางท่องเที่ยวกันอย่างปลอดภัย เมาไม่ขับ กลับแท๊กซี่ ไม่เอาอย่างจังไรแมนตอนนี้นะครับ

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2551

Harbin - Shienghai

ทริปนี้แทบจะเป็นความฝันอย่างหนึ่งของเราที่เป็นจริงที่หวังว่าครั้งหนึ่งจะไปเห็นหิมะตก เห็นเมืองน้ำแข็ง เล่นสกี แม้การเดินทางที่ผ่านมาแทบจะไม่เคยไปกับทัวร์เลยแต่คราวนี้และการเที่ยวลักษณะแบบนี้คงต้องไปกับทัวร์น่าจะดีที่สุด เพราะหลายอย่างที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น ทั้งภาษาและภูมิอากาศ ทริป 6 วัน5 คืนก็ได้เริ่มต้นขึ้น

10-11 ม.ค. 2551
หลังจากกลับจากเทรนนิ่ง กินข้าวแล้วก็เออละเหย นั่งดูทีวีเพลินมารู้ตัวอีกทีเพื่อนมารอหน้าบ้านเพื่อที่จะไปลงที่บ้านมันแล้วก็pool car ไปแท็กซี่คันเดียว เขานัด5 ทุ่มครึ่งไปถึงก็เกือบ5 ทุ่มสี่สิบ คนก็ยังมาไม่ครบ เพราะกว่าเครื่องจะออกจริงก็ ตีสองครึ่งตามกำหนดการ ทริปนี้หลายคนก็เป็นpartner ที่รู้จักกันมาก่อนแล้ว ก็ค่อนข้างโอเคกว่าการที่ไปแล้วไม่รู้จักใครเลย เข้าไปก็ถ่ายรูปในสนามบินสุวรรณภูมิ ด้านในฝั่งนี้ก็ไม่เคยได้เข้ามาก่อน เคยเห็นก็นึกอยู่ว่าแล้วรูปปั้นนี้มันอยู่ตรงส่วนไหนน้า



เข้ามารอจนพลังงานหมดก็นั่งหม่ำพิซซ่ารอเพราะ เครื่องดีเลย์ไปเป็นตี3 เวลาเหลือถมเถไปใกล้ตีสาม ขึ้นไปบนเครื่องเจอคนจีนมากมาย ที่เคยได้ยินมาว่าเถื่อน ก็ไม่นึกเลยว่าจะเถื่อนได้ถึงขนาดนี้ คุยกันขโมงโฉงเฉง เดินไปเดินมาอย่างกะอยู่บนรถทัวร์ นึกจะเรอก็เรอดังลั่นเครื่อง นึกจะหาวก็หาวเป็นดาวเป็นเดือน และสุดท้ายโฉดได้ใจมากครับ ขากเสลดแล้วก็ค้างเสียงเงียบไปอีกทีที่แรกก็นึกว่ามันกลืน ปรากฏว่าพี่ท่านถุยมันลงมาบนพื้นพรมบนเครื่องบินเนี่ยแหละครับ ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด หลายคนในทริปก็เห็นเหมือนๆกัน หลังจากเดินทางมาเครื่องใกล้landing อาม่าแกก็ลุกยืนขึ้นมาไม่รู้จะเอากระเป๋าหรือเข้าห้องน้ำก็ไม่รู้ แอร์โฮสเตสบนเครื่องก็ร้องดังลั่นเครื่องเหมือนกับมีใครไปจุดไฟเผาเครื่องตกใจกันทั้งเครื่องบิน

หลับไปได้สักพักใกล้เช้าเครื่องจอดแต่ ปกติถ้าเครื่องไม่ดีเลย์ต้องถึงประมาณ 7 โมงกว่า แต่นี่ยังไม่ 7โมง เครื่องจอดแล้ว งง แล้วก็มีเฉพาะกรุ๊ปเราที่ฟังภาษาจีนไม่ออก ไปหยิบกระเป๋าส่วนคนอื่นยังนั่งกันนิ่งๆ งงไปพักนึง จู่ๆก็เอาอาหารเช้ามาเสริฟ เออแปลก มาเสริฟก่อนจะออก จนไกด์ที่ฟังภาษาจีนออกมาบอกที่แท้หมอกลงจัดเครื่องจอดที่เซี้ยงไฮ้ไม่ได้เลยจอดสนามบินนี้ก่อนจนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครรู้เลยว่าเราไปลงที่ไหนกันมา อาหารบนเครื่องที่นี่โอ้กินแล้วทุกคนลงความเห็นว่า แหลกไม่ล้าย ขนมปังแข็งๆไม่มีไส้ กับผักดองใส่ห่อเล็กๆกินกับขนมปัง มื้อเช้าเลยแทบไม่ได้กิน ติดอยู่ในเครื่อง 3ชม. กว่าหมอกจะจาง ถึงได้มาลงที่เซี้ยงไฮ้ เดินไปต่อเครื่องลงมาอากาศเย็นเจี๊ยบประมาณสัก 5 องศาได้ลมปะทะรู้สึกดีหลังจากนั่งหลังเดียวเกือบสิบชั่วโมง ขึ้นเครื่องใหม่ที่จะต่อไปHarbin(ส่วนเหนือของจีน พื้นที่ติดกับรัสเซีย) เริ่มเหวออีกครั้ง เสริฟอาหารอีกแล้วครับ อุตส่าห์ดีใจแพ็คเก็ตกล่องเปลี่ยนไปแต่เปิดออกมาเหมือนเดิมครับแต่เอา kitkat ออก แต่ขนมปังแข็งๆไร้ไส้ก็ยังคงอยู่ สังเกตดูเพื่อนร่วมทริปก็ไม่มีใครกินเลยครับ ลงจากเครื่องคราวนี้ก็เกือบห้าโมงเย็นเป็นการนั่งบนเครื่องบินที่ยาวนานที่สุด คราวนี้ของแท้ครับลงจากเครื่องขนาดผ่านงวงช้างยังแทบแย่ เข้าไปในสนามบินมี Heater ก็ธรรมดา ขาออกจากสนามบินขึ้นรถพันตัวกันอย่างกับมัมมี่ เพราะไม่มีใครได้เตรียมตัวอะไรหนาวขามากกางเกงตัวเดียวเอาไม่อยู่ นั่งอยู่บนรถแล้วก็ยังหนาวค้างอยู่เลย ที่นี่เหมือนกับลองนึกสภาพว่าเราเข้ามาในตู้เย็นช่องfreez ขนาดใหญ่ อุณหภูมิช่วงกลางวันจะอยู่ประมาณ - 17 กลางคืนอยู่ที่ประมาณ -20 กว่าๆ ไกด์บอกว่าจะมีวันหนึ่งที่โดนแจ็คพ็อตหนาวสุด -40 พอถึงแวะภัตตาคารเห็นอาหารแล้วก็กินกันอย่างสุดๆเพราะแทบไม่ได้กินอะไรกันมาทั้งวัน อาหารที่นี่จืดมาก มีแต่แป้งกับผักเป็นส่วนใหญ่ เนื้อก็มักเป็นเนื้อวัวไม่งั้นก็แพะ แต่บนโต๊ะส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อ ปกติไม่กินก็จำต้องกิน อาหารที่นี่ทุกมื้อโต๊ะนึงจะมีเบียร์สองขวด สไปร์ทลิตรขวดนึง แต่ละคนเริ่มจะไม่ไหวก่อนเข้าโรงแรม ไกด์เลยพาไปที่ร้านขายลองจอนหรือเสื้อกันหนาวเพิ่มเติม กลับโรงแรมได้เสื้อหนาวกันอีกคนละตัวสีส้มแป้ด รองเท้าAskimo อีกคนละคู่ ถุงมือ ที่ปิดหู ผ้าพันคอ วันแรกก็เปิดบ่อนกันเลยครับ ไอ้เราปกติก็ไม่เล่นไพ่อยู่แล้วก็ได้แต่เป็น Tester ชิมมาม่าจีนไปหลายกล่องเล่นเอาอิ่ม ปิดบ่อนตอนตีหนึ่ง ก็นอนพร้อมสำหรับพรุ่งนี้







12 ม.ค. 2551



เช้านี้วันแรกไปเทศกาลหิมะ รองเท้าตอนนี้ยังไม่ได้หนาวขาสุดๆ เนื่องจากตีนโตกว่าชาวบ้านเขา เลยต้องรอเที่ยงๆเขาถึงหารองเท้าใหม่มาให้ เดินไปก็หนาวไปภาพออกมาแม้กดไม่ยั้งแต่ก็มีเสียหลายรูปเนื่องจากหนาวจนเอาไม่อยู่มือไม่นิ่ง ถอดถุงมือแต่ละทีแทบไม่ไหว ไม่คิดว่าหนาวขนาดนี้ อากาศหนาวมากทำให้แบตหมดเร็วมากถ่ายไปไม่กี่ภาพก็หมด ยกเว้นกล้องราคาแพงที่จะทนกว่าทั่วไป ดีที่มีแบตสำรอง สักพักไม่ไหวครับไปหลบร้านกาแฟ ขมปี๋ ที่นี่ไม่นิยมน้ำตาลเลยหรือยังไงไม่รู้




หลังจากนั้นแวะกินข้าวแล้วไปต่อที่สวนเสือไซบีเรียที่นี่ เสือตัวใหญ่มาก ที่นี่ต้องการไม่ให้คนฆ่าเสือ ดังนั้นเพื่อเป็นการปลูกฝัง ถ้าเสือตายจะเอาไปฝังเป็นสุสานเสือ เพราะคนที่นี่กินทุกอย่างไม่งั้นคงได้ล่าเสือเอาหนังเอาเขี้ยวเป็นแน่ ไกด์ว่างั้น เสือตัวใหญ่หลายร้อยตัวนั่งรถเข้าไปแล้วก็ถ่ายรูปจากในรถ แล้วก็ลงแวะดูตามกรงที่นี่สามารถให้อาหารได้โดยซื้อแพะหลายร้อยหยวน(1หยวน=5 บาท)มาปล่อยให้เสือมาขยำ ถ้าซาดิสอยากเห็นเลือดสาดกระจาย จากนั้นก็ไปดูคนแก่ว่ายน้ำในน้ำแข็ง แค่เดินไม่โดนน้ำยังแทบแย่ นี่ลงไปว่ายที่นี่เขาว่าเป็นประเพณีที่เขาทำกันมาประจำ เก็บเงินคนค่าชมมาดูคนแก่ทรมาน เขาว่าต้องเตรียมตัวเป็นปีๆถึงทำแบบนี้ได้ จากนั้นก็นั่งหมาลากเลื่อนแล้วก็ไปเล่นสไลเดอร์น้ำแข็งมันส์มาก มีคนก่อนหน้าพลาดหัวโขกเล่นเอาคิดอยู่สักพักเล่นดีมั้ย ครั้งหนึ่งในชีวิตน่ะ คิดแบบนี้แล้วก็ลื่นลงมา ถ้าไม่เล่นคงเสียดายทีหลัง ที่นี่พื้นลื่นมาก ถ้าไม่มีรองเท้าที่เขาให้มาอาจลื่นได้ง่ายๆ ตกเย็นไปโบสถ์เซ็นโซเฟีย ที่นี่เป็นโบสถ์คริสต์สไตล์รัสเซีย

แล้วก็มาถึงHigh light สำหรับวันนี้ครับ เทศกาลน้ำแข็งคนจากที่นี่จะเอาน้ำแข็งจากแม่น้ำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เหมือนกับอิฐแล้วเอามาก่อเป็นสิ่งก่อสร้างต่างๆราดน้ำแล้วก็จะแข็งเป็นรูปร่าง สามารถเดินหรือเหยียบได้ ที่นี่หนาวสุดของวันและที่ผ่านมาของช่วงก่อนหน้า ขนาดคนที่นี่ยังไม่สามารถอยู่เฉยๆได้ต้องเดินย่ำเท้าตลอด กับอุณหภูมิ -30องศา ในเทอร์โมมิเตอร์ที่ขึ้นจะอยู่ที่ประมาณ -17 องศา ที่ประทับใจที่นี่คงเป็นรถposhe น้ำแข็ง เสร็จกินข้าวแล้วก็กลับโรงแรมนอน



13 ม.ค. 51 (วันสุดท้ายที่Harbin)
เช้านี้เราจะไปเล่นสกีกัน เป็นอะไรที่ประทับใจสุดในทริปนี้เลยก็ว่าได้ ใส่เสื้อหนาที่สุด 4 ชั้น กางเกงอีก 4 ชั้น นั่งรถไป2 ช.ม. สกีเออหลงซาน มาตอนแรกหนาวมาก แรกๆเดินแทบไม่ได้ต่อมาพอเริ่มชินก็ค่อยก้าวได้ พอเล่นไปทีแรกก็ล้มเลยครับ ต่อมาชักมันส์ล้มน้อยลง ไปเล่นบนจุดสูงสุดเลย ได้เสื้อเป็นตัวรับน้ำหนัก เสื้อส้มที่ใส่แล้วเหมือนมิชชิลินแมน ก็ช่วยได้เยอะ จนสุดท้ายขึ้นไปแล้วลงมาด้วยความเร็วสูง เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆตัดหน้าเบรคไม่ทันเกือบประสานงา เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆหน้าตาแค้นมากคงต้องระวังตัวไว้ อีกสิบปีอาจมีคนมาตามล้างแค้น เล่นจนไม่คิดว่าเหงื่อจะออกได้ในอุณหภูมิภายนอกติดลบขนาดนี้ เสื้อที่ใส่ไว้เริ่มอยากถอดมันออก จนเล่นเสร็จกลับเข้ามาจุดเปลี่ยนรองเท้าถอดออกหมด สักพักเหงื่อที่ติดที่ผมแข็งเป็นน้ำแข็งต้องกลับมาใส่เหมือนเดิม คนอื่นก็ไม่มีใครเหงื่อออกขนาดนี้ จากนั้นทริปบังคับให้ไปซื้อโสมก็ไม่มีใครสนใจจะซื้ออะไรสักเท่าไหร่ เราได้ช็อคโกแลตรัสเซียมา ท่าทางจะอร่อย กลับมาต่อด้วยสวนสตาลิน หนาวอีกแล้วทุกครั้งที่ลงจากรถ ตัวจะเหมือนมัมมี่เหลือแต่ลูกตา โผล่ออกมา เวลาถ่ายรูปแทบจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร แล้วก็ต่อด้วยช้อปปิ้ง ผ่านบาร์น้ำแข็งน่าสนใจ เข้าไปถ่ายรูปได้สักพักมีคนมารั้งตัว แล้วพูดไรก็ไม่รู้ไม่สนใจเดินออกมา ถึงได้รู้ว่าเขาเก็บตังค์ค่าถ่ายรูป 10 หยวน( 50 บาท) ต่อคน เล่นง่ายไม่บอกก่อน ถ้าบอกจะได้ไม่ถ่ายเลยไม่สนใจเดินออกมาเลย แต่พี่อีกสองคนไม่ทันโดนบังคับล้อมหน้าล้อมหลัง ก็โดนไป ตุ๊กตาแม่ลูกดกของฝากที่ขึ้นชื่อของที่นี่ เป็นตุ๊กตาไม้ที่พอเปิดออกมาก็จะมีตัวเล็กๆซ้อนไปเรื่อยๆ คืนนี้เล่นไพ่ทั้งที่ไม่เคยเล่นมาก่อน เล่นก็ไม่ค่อยจะเป็นดันดวงขึ้น แต่สุดท้ายก็เริ่มเสียไปเรื่อยๆ สุดท้ายได้มา 40 หยวน เจอpartner คนนึง เมาแล้วก็พูดภาษาอังกฤษตลอดพูดภาษาไทยไม่ได้แปลกดี นี่แหล่ะน้าน้ำเปลี่ยนนิสัย ก่อนหน้านี้เคยได้ยินแต่คนเขาพูดกันว่าเมาแล้วก็จะกลายเป็นคนอีกคนนึง ก็เพิ่งได้เห็นกับตาวันนี้เอง ที่นี่เราเองปกติก็ไม่ค่อยได้กินน้ำเมา แต่มาที่นี่เขากินเบียร์แทนน้ำกัน ก็ต้องตามน้ำไป เบียร์ที่นี่ ดีกรี 3% อ่อนกว่าเบียร์ที่เมืองไทยมากอยู่




14 ม.ค. 51

เช้านี้ออกเดินทางไปสู่เซี้ยงไฮ้ อากาศที่นี่ดีกว่า Harbin เยอะ เฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 5 องศา เจอไกด์ที่นี่ชื่อจั่นเจา มุขเยอะมากเริ่มจาก "ผมไม่เคยไปเมืองไทยแต่พูดภาษาไทยได้ เพราะเป็นคนสิบสองปันนา แต่คนไทยจะเรียกว่า 13 ปันใจ" สักพักนึงมาอีกวันนี้เราจะไปชมหอคอยไข่มุก แต่ผมพูดไม่ชัดทีแรกก็ไม่เข้าใจว่าคนไทยหัวเราะอะไรกัน คนที่ได้ยินก็จะประมาณว่า เราจะไปชมหัวค_ยไข่มุก แทน ไปเที่ยวหอคอยที่นี่สูง250กว่าชั้นถ้าจำไม่ผิด ใช้เวลาขึ้นลิฟท์ไม่ถึงนาที มาถึงจุดนี้จะเห็นทิวทัศน์โดยรอบของ Shienghai ได้จากมุมสูง แล้วก็จะมีความสูงของตึกกำกับ ตอนนี้กำลังแข่งกันเรื่องความสูงกับไต้หวันเพื่อเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก ที่นี่จะมีแต่ตึกสูงๆ ณ ปัจจุบันที่สูงสุดรู้สึกจะ101 ชั้น แอบถ่ายรูปกับพนักงานต้อนรับสาวจีนที่อยู่ในลิฟท์ที่นี่เขาฝึกมาสุดยอดมาก ตอนขาลงจะบรรยายเป็นภาษาจีน+ภาษาอังกฤษ ลงมาถึงก็บรรยายจบพอดี จากนั้นก็ต่อด้วย อุโมงค์เลเซอร์รอดใต้แม่น้ำที่เราไปหอคอยไข่มุกไปยังอีกฝั่งนึง ของแม่น้ำ ทริปนี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากถ่ายรูปครับถ่ายมันเข้าไป ขึ้นจากอุโมงค์ข้ามแม่น้ำมาเสร็จก็ถ่ายรูปกันต่ออีกจนเพลิน ตกดึกก็ไปกินอาหารมื้ออร่อยครับเรือมังกร เข้าไปแล้วอย่างกับดูหนังจีน กินมื้อนี้รู้สึกดีมีเป๊ปซี่ให้กิน ปกติจะมีแต่สไปร์ทมะนาว เก๊กท่าถ่ายรูปกับบัลลังก์มังกร แล้วก็ต่อด้วยค่ำคืนที่ไม่รู้จะทำไร เพราะเขาพาไปถนนที่มีแต่ผับที่ฝรั่งหรือคนรวยที่นั้นที่เข้าได้เพราะราคานี่น่าจุกจริงๆ ขึ้นไปที่หน้าโรงหนังของที่นี่มีรอยฝ่ามือ ของคนดังๆ ถ่ายได้แป่บเดียวก็มีคนมาไล่เพราะเขาไม่ให้ถ่าย เราก็อุตส่าห์ได้มาสองรูป มือของเฉินหลง ดาราคนโปรดและโจวชิงฉือ เสร็จก็เดินทางกลับที่พักไปซื้อมาม่ากัน ก็แวะซื้อของฝากด้วยเลย ลูกอมรสนมตรากระต่ายสมัยเด็กๆที่ชอบกิน กลับมาดีนะวันนี้ไม่ได้เล่นไพ่ วันนี้เจ้ามือ(พี่เลี้ยง)มือขึ้นมากทุกกินกันหมดวงเลย แต่ละคน กว่าจะได้นอนตีสองสำหรับวันนี้ วันสั่งลา



15 ม.ค. 51 (วันสุดท้ายสำหรับทริปนี้)


เช้านี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความผวาเพราะว่าดันดูเวลาผิดวันนี้เขาอุตส่าห์กำชับว่าอย่าสาย วันนี้เราก็ดันดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือด้วยเข็มปกติ(นาฬิกาตั้งเข็มเป็นเวลาไทย ดิจิตอลเป็นเวลาจีน)ดันลืมไปดูเวลาตามเข็ม นึกว่าเพิ่ง6.30น.(เวลาจริงเป็น 7.30 น.เวลาที่จีน เวลาที่นี่กับไทยห่างกัน1 ชม.) ตื่นมาน้ำแทบไม่ได้อาบแปรงฟันแล้วก็เก็บข้าวของ เกือบไม่ได้กินข้าวเช้า ลงไปเขากินกันเสร็จหมดแล้ว เกือบซวยซะแล้วเรา เช้าวันนี้ฝนตกที่หน้าต่าง(เซี้ยงไฮ้) มาคราวนี้ครบรสชาติ ทั้งหนาวทั้งฝน เพื่อนชวนไปดูห้องน้ำที่โรงแรมเห็นแล้วแปลกตาดีแท้อย่างกับส้วมเรืองแสง ทั้งโถฉี่ทั้งห้องน้ำเป็นไฟสะท้อนแสงวันนี้แวะวัดพระหยกขาว ตำนานคร่าวๆประมาณว่าเจ้าของได้หยกมาห้าชิ้นแล้วจะย้ายไปที่อื่น สามชิ้นเอา มาปั้นเป็นพระหรืออะไรประมาณนี้ แต่ละองค์ใหญ่มากแต่องค์ที่ใหญ่ที่สุดไม่รู้ทำไมเขาห้ามถ่ายรูป ที่นี่จะมีรูปพระจี้กงไม้ ซึ่งเขาบอกว่าบางมุมจะเห็นว่าหน้าบึ้งแต่ก็มองยังไงก็ยิ้ม ไม่รู้เขาต้องมองมุมไหนกัน จากนั้นก็พาไปดูร้านขายมุก การตลาดเขาดีจริงๆเขาผ่าให้ดูก่อนว่าวิธีเอามุกออกจากหอยทำยังไง แล้วคิดว่ามีไข่มุกกี่เม็ดในเปลือกหอย เราก็นึกว่ามีเม็ดเดียวมาตลอด ผ่าออกมาไม่แน่ใจว่า 33หรือ 43 เม็ด เขาว่าถ้าเม็ดไหนไม่ดีก็จะเอามาทำครีมไข่มุก เพิ่งรู้วิธีดูว่ามุกแท้หรือเปล่าให้ขูดกับกระจกถ้ามีผงออกมาคือมุกจริง จากนั้นก็เข้าสู่การขาย ไอ้เราก็ไม่รู้จะซื้อไปให้ใครก็เลยกลับมานั่งรอในรถ ต่อไปก็แหล่งช็อปปิ้งสุดท้าย ก็เกาะกลุ่มกันไปเพื่อการต่อราคา ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องอาศัยไปพร้อมพี่นก(Symantec) เพราะพี่เขาเคยมาเรียนภาษาจีน พูดได้อยู่ ราคาไม่ค่อยถูกใจนักแต่ละที่คงเหมือนคนไทยขายของฝรั่งราคาแพง สุดท้ายมาถูกใจที่ร้านสองหยวน ทุกอย่างสองหยวนหมด นี่แหล่ะที่ต้องการของฝากเพื่อนส่วนใหญ่ก็ได้มาจากที่นี่แหล่ะ ทั้งน้องที่เรียนโท เพื่อนที่พระนครเหนือก็ได้นี่แหล่ะแหล่งของฝากที่ดีที่สุด ได้มาเต็มถุงเลย สถานที่ต่อไปก็ที่ร้านสมุนไพรจีน ที่นี่ส่วนใหญ่รัฐบาลจีนจะมีสัญญากับทางทัวร์ว่าต้องพาไปก็ได้แก่ สวนสมุนไพรจีนนี่แหล่ะ ร้านโสม ร้านไข่มุก ที่สวนสมุนไพรที่นี่ที่ดังๆก็คงเป็นบัวหิมะ(เป่าฟู่หลิง)ที่สมัยแก๊สระเบิดที่ถ.เพชรบุรีทางรัฐบาลจีนส่งมาช่วย แล้วทำให้คนไทยส่วนใหญ่รู้จักกันถึงทุกวันนี้ในสรรพคุณของยา เขาจะให้เด็กๆที่บอกว่าเป็นนักเรียนมานวดเท้าให้แล้วก็บอกว่านวดฟรี จริงๆที่ได้ยินมาคนที่นวดแล้วคนซื้อน่าจะได้เปอร์เซ็นต์ คนที่นวดเราก็ไม่ค่อยมีแรงนวดเลย เหมือนนวดไปงั้น สุดท้ายก็มาขึ้นรถไฟหัวจรวดความเร็ว ช่วงกลางวัน 550 กม./ชม. ช่วงกลางคืน 301 กม./ชม. ระยะทางจากที่นั่นไปที่สนามบิน ระยะทาง 50 กม.ได้ ใช้เวลา 7 นาที ถึงสนามบินก็นั่งรวบรวมรูปจากกล้องของแต่ละคนมารวมกัน รวมแล้วคร่าวๆ 16 GB จากกล้องเกือบสิบตัวไม่รู้จะเอามารวมยังไงกันดี สุดท้ายคงต้องไร้ท์ DVD ขึ้นเครื่องกลับมาที่กรุงเทพเกือบตีสอง สโหลสเหลเต็มทน ติดรถตั้มมาลงแถวอนุสาวรีย์ เหยียบซะ 180 อืม ก็เร็วดี ถึงบ้านตีสาม ก็จัดของพร้อมทำงานวันรุ่งขึ้นอีกไม่กี่ชม. และแล้วทริปนี้ก็จบลง ฝันก็เป็นจริงกับหิมะสกี และการเดินทางที่อาจจะเป็นเพียงครั้งเดียวในชีวิตก็ผ่านไป อากาศที่หนาวจนจับใจ ขี้ร้อนอย่างเราก็คงไม่ได้สัมผัสอีกง่ายๆ บรรยากาศช่องFreeze ขนาดใหญ่ กินเบียร์แทนน้ำก็ผ่านไป กลับมาเจอกับงานหนักหัว เรียนหนักอึ้งอีกครั้ง การท่องเที่ยวไปในโลกกว้างได้เจอสิ่งใหม่ๆในชีวิตก็เหมือนการชาร์ตแบตให้กับชีวิตให้มีกำลังมาทำสิ่งต่างๆอีกครั้ง และครั้งนี้คงเป็นอีกครั้งที่คงจะจำไปอีกนาน

วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551

ดวง

ดูดวงครั้งแรก กับ ป้าหลีบ ป้าที่หอที่พวกเจ๋งไปอยู่ตั้งแต่สมัยเรียน ว่าจะลองหลายทีละมาวันนี้ได้โอกาส กลับจากเขาใหญ่ ไอ้เจ๋งแวะไปเยี่ยมเลยลองดูสักที คำทำนายตรงบ้างไม่ตรงบ้างเก็บไว้อ่านต่อไปจะได้เทียบในอนาคต เขาว่าบ้านเราเป็นสีเขียวใบตอง อยู่ขวามือจะดี แต่ที่เพิ่งซื้ออยู่ซ้ายมือสีเหลืองนวล ให้ระวังโดนล้วงกระเป๋าบนสะพานลอยตอนเที่ยงวัน การงานจะดีช่วงอายุ 31 อายุ 30 ดวงการงานไม่ดีนักแต่เงินทรงตัว คู่ชีวิตที่จะได้จะมาตอนอายุ 33 อายุ 30 ก็จะมีแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน คู่ชีวิตจะเป็นคนที่หน้าที่การงานสูงกว่าเรา ผิวขาว ลูกครึ่งไทยจีน โรงงานที่เช่าจะมีคนมาปีหน้า ผู้ชายคนผู้หญิงคนนึงมาติดต่อ ที่ยังไม่มีตอนนี้เพราะมีคนบนเจ้าที่ไว้แล้วไม่มาแก้ เลยหาคนเช่าลำบาก ก็ไว้ดูกันต่อไปว่าจะจริงตามนั้นหรือเปล่า
ที่ตรงแล้วสะกิดใจป้าเขาว่าที่ทำงานจะติดกับน้ำ ก็ตรงเลยเพราะทุกวันนี้ตึกที่ทำงานอยู่ติดกับคลองแสนแสบ

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2550

นี่แหละความเสียใจ

ไม่น่าปล่อยใจให้มันเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ คนที่เคยตามหา คนที่เคยอยู่ ภาพอดีตมันกลับคืนมา สิ่งที่เคยทำมันมาย้อนทำร้ายเราได้อีก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยสัญญากับตัวเอง ว่าจะไม่เป็นอีก ความผูกพันมันพอมากเข้า ก็คุมตัวเองไม่อยู่ เผลอกลับไปใส่ใจให้ความสำคัญมากเกินไป แต่ก็ทำให้ตัดสินใจอะไรบางอย่างออกไป ให้อภัยกับคนที่เคยทำให้เราเจ็บ แม้มันเคยนานสักแค่ไหน ชีวิตที่เคยเจ็บก็ค่อยจางไป กับความรู้สึกที่สุดแสนจะบรรยาย ความเสียใจที่มันเคยเอ่อล้นภายในก็ทะลักกลับขึ้นมาอีก

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2550

การเดินทางแสนไกลสู่เส้นทาง วังน้ำเขียว




การเดินทางครั้งเริ่มจากป้อมเหมือนเดิมที่ต้องการเที่ยวส่งท้ายก่อนไปเรียน โดยทริปนี้มี 5 ชีวิต ออกเดินทางแสวงหาธรรมชาติ เพื่อปลดปล่อยชีวิตจำเจของการทำงาน ป้อม พี เจ๋ง เล็ก บอย


บอย Titan ชายผู้ใช้ชีวิตรักอิสระ ไขว่คว้าหารักแท้ มานานแสนนาน สาวโรงงานที่ใฝ่หาถึงหนุ่มผู้นี้ ก็ไม่สามารถทำให้จิตใจอันมั่นคงหวั่นไหวได้ ผู้ใช้รถTitan รับส่งพวกเราจากหอที่อ่อนนุช สู่เส้นทางวังน้ำเขียว อยู่เดียวดายมานานในนวนคร ชีวิตสังคมอีกเมืองเหมือนโลกอีกใบหนึ่ง กับการเดินทางแสวงหาความสงบ






ป้อม ช่างภาพ หนุ่มที่มีเอกลักษณ์ ทุกครั้งที่ออกเก็บภาพ จะมีรองเท้าแตะหนีบ กางเกงขาสั้น สะพายกล้องโอลิมปัสตัวโปรด เพื่อเก็บภาพธรรมชาติหลากหลายรูปแบบ ที่ทุกครั้งที่เจอจะมีคำถาม ถามเพื่อนๆว่า ไปเที่ยวครั้งต่อไปที่ไหน ทั้งที่เที่ยวครั้งแรกยังไม่จบเลย






เล็ก Manager ที่สลัดคราบความสุขุมนุ่มลึก ที่ถอดหน้ากากของManager ออก ที่ความสำเร็จในการทำงานอาจมิใช่เพียงสิ่งเดียวที่ชีวิตปรารถนา สวมบทบาทนักดนตรีความใฝ่ฝันในวัยเยาว์ที่อยากทำมานาน กับกีต้าร์ตัวโปรด









เจ๋ง Agel ผู้ที่ค้นหาความสำเร็จในชีวิต กับสินค้าที่มีคุณภาพคับแก้วแต่ยังไม่ผ่านอ.ย. ความสำเร็จอาจเกิดขึ้นได้จากการที่เรามีสุขภาพดี








เช้าที่13 ต.ค. การเดินทางที่เริ่มต้นขึ้นโดยที่ยังไม่รู้กำหนดการที่แน่นอน เช้ารีบตื่นขึ้นมาเพื่อเดินทางไปให้ถึงอ่อนนุชแหล่งนัดหมายที่จะเริ่มต้นการเดินทาง ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ ใกล้ๆหอเรือนแก้ว แหล่งอาหารเช้ามื้อแรก ที่ออกจะถูกอกถูกใจเพื่อนๆ ก็ดีแม้จะไม่อร่อยมากมายอะไรนัก แต่ก็เป็นแหล่งเสบียงท้องในตอนเช้าที่ดี

การเดินทางครั้งนี้เหมือนกันกับทุกครั้งที่มีความแตกต่างไปบ้าง บอยที่เหมือนไม่เต็มใจกับการเดินทางครั้งนี้เท่าไหร่นักเพราะเหนื่อยกับการขับรถ เจ๋งที่เอาแต่อ่านการ์ตูนตลอดการเดินทาง เล็ก กับงานที่รัดตัวจนต้องเปิดโน๊ตบุ้คทำงานในรถ การเดินทางที่เราคาดหวังว่าจะราบรื่น ฝนที่ตกลงมาตลอดทางแม้สร้างความชุ่มชื่น แต่ก็เป็นอุปสรรคกับการเดินทางไกล ข้าวของหลังรถที่ต้องคอยระวังไม่ให้ปลิวหล่นหาย ระหว่างการเดินทางแต่ทั้งหมดนี้คือความสุขที่เกิดขึ้นจากการเดินทางที่แสนยาวไกลในครั้งนี้

บางครั้งการท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆอาจจะไม่สนุกเลย หรืออาจสนุกจนลืมไม่ลงอาจจะไม่ได้เกิดจากสถานที่เพียงอย่างเดียว แต่หากเป็นบุคคลที่เดินทางไปด้วยต่างหาก ที่จะสร้างสีสันให้กับการเดินทาง ทริปนี้หัวข้อสนทนาก็ไม่พ้นเรื่องการแต่งงานของเพื่อนสาวคนหนึ่งในห้อง สมัยเรียน ที่ทำให้กลายเป็นประเด็นว่า นี่ ห้องเรากลายเป็นห้องที่เสียดุลย์เพราะจัดจำหน่ายไปให้กับห้องอื่นหมด เหลือแห้วกระป๋องไว้ดูต่างหน้า

บางอย่างที่เราอาจไม่เคยนึกมาก่อนหรือไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับเพื่อนคนหนึ่งก็อาจเกิดจากการเที่ยวในครั้งนี้ เพื่อนเล็กเล่าถึงประสบการณ์การขี่มอเตอร์ไซด์ทางไกลข้ามจังหวัด จากอ่อนนุชไปปราจีน ด้วยเส้นทางที่ไม่เคยผ่านมาก่อน ถ้าเดินทางด้วยมอเตอร์ไซด์ฝ่าสายฝน คนเดียว รถที่ยางแตกแล้วต้องเข็นไปให้เขาปะยางให้โดยไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะถึงเมื่อไหร่ คงเป็นอะไรที่ไม่เคยคิดที่จะทำเป็นแน่

ทริปนี้เหมือนการย้อนอดีต ต่างกับการเที่ยวครั้งที่ผ่านๆมา เพราะคราวนี้จะทำอาหารกินกันเอง แวะตลาดปราจีนซื้ออุปกรณ์ทำบาบีคิว สำหรับค่ำคืนนี้ แวะร้านไก่ย่างพานทองที่มักจะมากินกันเสมอสมัยเรียน แล้วก็แซวกันไปทั้งเรื่องที่เคยทำกันตอนที่เรียนกันอยู่ ซื้อหมู ไก่ อุปกรณ์หมัก ไม้เสียบ สัปปะรด พริกหยวก พ่อครัวที่ดูจะเข้าท่าที่สุดคงจะเป็นเล็กที่เคยทำผักบุ้งไฟแดงให้กินสมัยเรียน แต่อย่างอื่นก็คงไม่รู้ได้ หนทางที่แสนไกลนี้กว่าจะเดินทางไปถึง แทนที่จะเป็นช่วงเที่ยงๆบ่าย ๆ อย่างที่คิด ก็กลายเป็นเย็นๆ ห้องพักใหญ่กว่าที่คิดจนอยากจะคืนไปสักห้องจะได้ลดค่าใช้จ่าย บรรยากาศดีที่เดียวที่นี่ ฝนตกพรำๆ เป็นระยะๆ ถ่ายรูปกินบรรยากาศกันสักพักก็เริ่มทำ บาบีคิวสูตร บิ๊กบาบีคิวที่คิดกันขึ้นมาเอง เอารสดีมาหมัก น้ำมันหอย ซีอิ้ว เสียบไม้ทิ้งไว้ได้หลายร้อยไม้ กินกันแค่5 คน บอมกับต่ายตามมาอีกรวมเป็น7 กินกันหมดได้ไงก็ไม่รู้ บรรยากาศหลังฝนอากาศเย็นๆ กับที่พัก บ้านไร่โอโซน โอเคทีเดียว เสียงกีต้าร์คุ้นเคยของเล็ก Manager กับบิ๊กบาบีคิว เค็มปี้ เข้ากันดีทีเดียว คุยกันไปร้องเพลงกันไป จนต่ายกับบอมตามมาร่วมวง พร้อมทั้งสั่งอาหารเพิ่มเติมที่เด็ดสุดของที่นี่คือ กระเพาแมงสาปไข่เจียวเห็ดหอม อร่อยกันจนจะหมดจานเพิ่งเห็นว่าที่กินไปมันคือกระเพาแถมแมงสาปให้ ดีที่ไม่ได้กินตัวมันเข้าไปแต่แค่นั้นก็พอให้เพื่อนที่ร่วมกินกระเพาจานนั้นแทบสำลัก ไข่เจียวเห็ดหอมที่อร่อยมากๆ ไม่เคยกินมาก่อน ก็มาชะงักงัน ดึกกันพอประมาณเข้านอน

รุ่งเช้าตื่นขึ้นมาพร้อมอากาศเย็นๆลมแรงๆที่พัดมาตลอด ถ้าเมื่อคืนเปิดประตูหน้าต่างไว้คงเย็นกว่านี้ แต่อาจจะไข้กินกันก็ได้ สมชื่อบ้านไร่โอโซนจริงๆ อากาศสดชื่นมาก คงเป็นเพราะฝนที่ตกลงมาเมื่อคืนด้วย ลมแรงๆกับบรรยากาศตีนเขาน่านอนเล่นอีกสักคืน เช้าๆกับข้าวต้มเห็ดหอมกับโอวัลตินร้อนๆ ช่วยให้บรรยากาศเย็นๆ ดีขึ้นไปอีก กับดอกไม้ประดับข้างๆที่พัก สายๆก็เดินทางไปเที่ยวพื้นที่ใกล้ๆแต่ไม่มีอะไรเท่าไหร่ จะไปขี่APV กันก็ไม่ครบคนเลยล้มเลิก แวะบ้านต่ายขากลับฝั่งทางโคราช ฝนตกตลอดทาง พอถึงก็ต้องรอเซ็งๆ เล่นกับหมาไปฆ่าเวลา แล้วก็ไปแวะซื้อของฝาก ร้านเจ้าสัว ที่เคยชอบกินถั่วตัดที่เคยติดใจสมัยก่อนที่เคยซื้อกินสมัยเที่ยวบ้านต่ายสมัยก่อนที่ไม่เคยว่างเว้นจากการท่องเที่ยว ใช้เวลาให้หมดๆไปเพื่อลืมอะไรบางอย่างที่ฝังอยู่ในหัว

ขากลับผ่านสูงเนินที่น้ำท่วมรถติดเป็นกิโล พาเอาเสียอารมณ์ดีที่ได้แวะกินข้าวร้านแถวเขายายเที่ยงที่มองลงมาจะเห็นเขื่อนลำตะคอง บรรยากาศดีอาหารอร่อยทำเอาอารมณ์ที่เสียๆดีขึ้น จบท้ายด้วยการกลับไปนอนบ้านบอยเพียงเพื่ออ่านการ์ตูนที่อ่านค้างไว้ให้จบก่อนที่จะเปิดเทอมแล้วไม่ได้อ่านต่อ

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2550

ชีวิตวนลูป

ช่วงนี้มีแต่การทำงานที่มีขึ้นมีลง มีเหนื่อยมีพัก ชีวิตหลังจากนี้ไปเป็นไงต่อไปก็ยังไม่รู้ ถ้ากลับมาเรียนอาจเครียดเหมือนเดิม เวลาที่เคยมีก็คงหายไปเหมือนเดิม จะทำอะไรต่อจากนี้ ไม่มีจุดหมายปลายทาง จะซื้อบ้านหลังจากนี้ เรื่องการเดินทางไปเรียนไปทำงานคงลำบากขึ้น รู้คะแนนสอบคนอื่นมา รู้สึกว่าเราทุ่มเทกับมันจริงแล้วหรือ หรือว่าแค่นี้ก็พอแค่พอผ่านไปแต่ละเทอมจนจบ