วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2551

Harbin - Shienghai

ทริปนี้แทบจะเป็นความฝันอย่างหนึ่งของเราที่เป็นจริงที่หวังว่าครั้งหนึ่งจะไปเห็นหิมะตก เห็นเมืองน้ำแข็ง เล่นสกี แม้การเดินทางที่ผ่านมาแทบจะไม่เคยไปกับทัวร์เลยแต่คราวนี้และการเที่ยวลักษณะแบบนี้คงต้องไปกับทัวร์น่าจะดีที่สุด เพราะหลายอย่างที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น ทั้งภาษาและภูมิอากาศ ทริป 6 วัน5 คืนก็ได้เริ่มต้นขึ้น

10-11 ม.ค. 2551
หลังจากกลับจากเทรนนิ่ง กินข้าวแล้วก็เออละเหย นั่งดูทีวีเพลินมารู้ตัวอีกทีเพื่อนมารอหน้าบ้านเพื่อที่จะไปลงที่บ้านมันแล้วก็pool car ไปแท็กซี่คันเดียว เขานัด5 ทุ่มครึ่งไปถึงก็เกือบ5 ทุ่มสี่สิบ คนก็ยังมาไม่ครบ เพราะกว่าเครื่องจะออกจริงก็ ตีสองครึ่งตามกำหนดการ ทริปนี้หลายคนก็เป็นpartner ที่รู้จักกันมาก่อนแล้ว ก็ค่อนข้างโอเคกว่าการที่ไปแล้วไม่รู้จักใครเลย เข้าไปก็ถ่ายรูปในสนามบินสุวรรณภูมิ ด้านในฝั่งนี้ก็ไม่เคยได้เข้ามาก่อน เคยเห็นก็นึกอยู่ว่าแล้วรูปปั้นนี้มันอยู่ตรงส่วนไหนน้า



เข้ามารอจนพลังงานหมดก็นั่งหม่ำพิซซ่ารอเพราะ เครื่องดีเลย์ไปเป็นตี3 เวลาเหลือถมเถไปใกล้ตีสาม ขึ้นไปบนเครื่องเจอคนจีนมากมาย ที่เคยได้ยินมาว่าเถื่อน ก็ไม่นึกเลยว่าจะเถื่อนได้ถึงขนาดนี้ คุยกันขโมงโฉงเฉง เดินไปเดินมาอย่างกะอยู่บนรถทัวร์ นึกจะเรอก็เรอดังลั่นเครื่อง นึกจะหาวก็หาวเป็นดาวเป็นเดือน และสุดท้ายโฉดได้ใจมากครับ ขากเสลดแล้วก็ค้างเสียงเงียบไปอีกทีที่แรกก็นึกว่ามันกลืน ปรากฏว่าพี่ท่านถุยมันลงมาบนพื้นพรมบนเครื่องบินเนี่ยแหละครับ ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด หลายคนในทริปก็เห็นเหมือนๆกัน หลังจากเดินทางมาเครื่องใกล้landing อาม่าแกก็ลุกยืนขึ้นมาไม่รู้จะเอากระเป๋าหรือเข้าห้องน้ำก็ไม่รู้ แอร์โฮสเตสบนเครื่องก็ร้องดังลั่นเครื่องเหมือนกับมีใครไปจุดไฟเผาเครื่องตกใจกันทั้งเครื่องบิน

หลับไปได้สักพักใกล้เช้าเครื่องจอดแต่ ปกติถ้าเครื่องไม่ดีเลย์ต้องถึงประมาณ 7 โมงกว่า แต่นี่ยังไม่ 7โมง เครื่องจอดแล้ว งง แล้วก็มีเฉพาะกรุ๊ปเราที่ฟังภาษาจีนไม่ออก ไปหยิบกระเป๋าส่วนคนอื่นยังนั่งกันนิ่งๆ งงไปพักนึง จู่ๆก็เอาอาหารเช้ามาเสริฟ เออแปลก มาเสริฟก่อนจะออก จนไกด์ที่ฟังภาษาจีนออกมาบอกที่แท้หมอกลงจัดเครื่องจอดที่เซี้ยงไฮ้ไม่ได้เลยจอดสนามบินนี้ก่อนจนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครรู้เลยว่าเราไปลงที่ไหนกันมา อาหารบนเครื่องที่นี่โอ้กินแล้วทุกคนลงความเห็นว่า แหลกไม่ล้าย ขนมปังแข็งๆไม่มีไส้ กับผักดองใส่ห่อเล็กๆกินกับขนมปัง มื้อเช้าเลยแทบไม่ได้กิน ติดอยู่ในเครื่อง 3ชม. กว่าหมอกจะจาง ถึงได้มาลงที่เซี้ยงไฮ้ เดินไปต่อเครื่องลงมาอากาศเย็นเจี๊ยบประมาณสัก 5 องศาได้ลมปะทะรู้สึกดีหลังจากนั่งหลังเดียวเกือบสิบชั่วโมง ขึ้นเครื่องใหม่ที่จะต่อไปHarbin(ส่วนเหนือของจีน พื้นที่ติดกับรัสเซีย) เริ่มเหวออีกครั้ง เสริฟอาหารอีกแล้วครับ อุตส่าห์ดีใจแพ็คเก็ตกล่องเปลี่ยนไปแต่เปิดออกมาเหมือนเดิมครับแต่เอา kitkat ออก แต่ขนมปังแข็งๆไร้ไส้ก็ยังคงอยู่ สังเกตดูเพื่อนร่วมทริปก็ไม่มีใครกินเลยครับ ลงจากเครื่องคราวนี้ก็เกือบห้าโมงเย็นเป็นการนั่งบนเครื่องบินที่ยาวนานที่สุด คราวนี้ของแท้ครับลงจากเครื่องขนาดผ่านงวงช้างยังแทบแย่ เข้าไปในสนามบินมี Heater ก็ธรรมดา ขาออกจากสนามบินขึ้นรถพันตัวกันอย่างกับมัมมี่ เพราะไม่มีใครได้เตรียมตัวอะไรหนาวขามากกางเกงตัวเดียวเอาไม่อยู่ นั่งอยู่บนรถแล้วก็ยังหนาวค้างอยู่เลย ที่นี่เหมือนกับลองนึกสภาพว่าเราเข้ามาในตู้เย็นช่องfreez ขนาดใหญ่ อุณหภูมิช่วงกลางวันจะอยู่ประมาณ - 17 กลางคืนอยู่ที่ประมาณ -20 กว่าๆ ไกด์บอกว่าจะมีวันหนึ่งที่โดนแจ็คพ็อตหนาวสุด -40 พอถึงแวะภัตตาคารเห็นอาหารแล้วก็กินกันอย่างสุดๆเพราะแทบไม่ได้กินอะไรกันมาทั้งวัน อาหารที่นี่จืดมาก มีแต่แป้งกับผักเป็นส่วนใหญ่ เนื้อก็มักเป็นเนื้อวัวไม่งั้นก็แพะ แต่บนโต๊ะส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อ ปกติไม่กินก็จำต้องกิน อาหารที่นี่ทุกมื้อโต๊ะนึงจะมีเบียร์สองขวด สไปร์ทลิตรขวดนึง แต่ละคนเริ่มจะไม่ไหวก่อนเข้าโรงแรม ไกด์เลยพาไปที่ร้านขายลองจอนหรือเสื้อกันหนาวเพิ่มเติม กลับโรงแรมได้เสื้อหนาวกันอีกคนละตัวสีส้มแป้ด รองเท้าAskimo อีกคนละคู่ ถุงมือ ที่ปิดหู ผ้าพันคอ วันแรกก็เปิดบ่อนกันเลยครับ ไอ้เราปกติก็ไม่เล่นไพ่อยู่แล้วก็ได้แต่เป็น Tester ชิมมาม่าจีนไปหลายกล่องเล่นเอาอิ่ม ปิดบ่อนตอนตีหนึ่ง ก็นอนพร้อมสำหรับพรุ่งนี้







12 ม.ค. 2551



เช้านี้วันแรกไปเทศกาลหิมะ รองเท้าตอนนี้ยังไม่ได้หนาวขาสุดๆ เนื่องจากตีนโตกว่าชาวบ้านเขา เลยต้องรอเที่ยงๆเขาถึงหารองเท้าใหม่มาให้ เดินไปก็หนาวไปภาพออกมาแม้กดไม่ยั้งแต่ก็มีเสียหลายรูปเนื่องจากหนาวจนเอาไม่อยู่มือไม่นิ่ง ถอดถุงมือแต่ละทีแทบไม่ไหว ไม่คิดว่าหนาวขนาดนี้ อากาศหนาวมากทำให้แบตหมดเร็วมากถ่ายไปไม่กี่ภาพก็หมด ยกเว้นกล้องราคาแพงที่จะทนกว่าทั่วไป ดีที่มีแบตสำรอง สักพักไม่ไหวครับไปหลบร้านกาแฟ ขมปี๋ ที่นี่ไม่นิยมน้ำตาลเลยหรือยังไงไม่รู้




หลังจากนั้นแวะกินข้าวแล้วไปต่อที่สวนเสือไซบีเรียที่นี่ เสือตัวใหญ่มาก ที่นี่ต้องการไม่ให้คนฆ่าเสือ ดังนั้นเพื่อเป็นการปลูกฝัง ถ้าเสือตายจะเอาไปฝังเป็นสุสานเสือ เพราะคนที่นี่กินทุกอย่างไม่งั้นคงได้ล่าเสือเอาหนังเอาเขี้ยวเป็นแน่ ไกด์ว่างั้น เสือตัวใหญ่หลายร้อยตัวนั่งรถเข้าไปแล้วก็ถ่ายรูปจากในรถ แล้วก็ลงแวะดูตามกรงที่นี่สามารถให้อาหารได้โดยซื้อแพะหลายร้อยหยวน(1หยวน=5 บาท)มาปล่อยให้เสือมาขยำ ถ้าซาดิสอยากเห็นเลือดสาดกระจาย จากนั้นก็ไปดูคนแก่ว่ายน้ำในน้ำแข็ง แค่เดินไม่โดนน้ำยังแทบแย่ นี่ลงไปว่ายที่นี่เขาว่าเป็นประเพณีที่เขาทำกันมาประจำ เก็บเงินคนค่าชมมาดูคนแก่ทรมาน เขาว่าต้องเตรียมตัวเป็นปีๆถึงทำแบบนี้ได้ จากนั้นก็นั่งหมาลากเลื่อนแล้วก็ไปเล่นสไลเดอร์น้ำแข็งมันส์มาก มีคนก่อนหน้าพลาดหัวโขกเล่นเอาคิดอยู่สักพักเล่นดีมั้ย ครั้งหนึ่งในชีวิตน่ะ คิดแบบนี้แล้วก็ลื่นลงมา ถ้าไม่เล่นคงเสียดายทีหลัง ที่นี่พื้นลื่นมาก ถ้าไม่มีรองเท้าที่เขาให้มาอาจลื่นได้ง่ายๆ ตกเย็นไปโบสถ์เซ็นโซเฟีย ที่นี่เป็นโบสถ์คริสต์สไตล์รัสเซีย

แล้วก็มาถึงHigh light สำหรับวันนี้ครับ เทศกาลน้ำแข็งคนจากที่นี่จะเอาน้ำแข็งจากแม่น้ำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เหมือนกับอิฐแล้วเอามาก่อเป็นสิ่งก่อสร้างต่างๆราดน้ำแล้วก็จะแข็งเป็นรูปร่าง สามารถเดินหรือเหยียบได้ ที่นี่หนาวสุดของวันและที่ผ่านมาของช่วงก่อนหน้า ขนาดคนที่นี่ยังไม่สามารถอยู่เฉยๆได้ต้องเดินย่ำเท้าตลอด กับอุณหภูมิ -30องศา ในเทอร์โมมิเตอร์ที่ขึ้นจะอยู่ที่ประมาณ -17 องศา ที่ประทับใจที่นี่คงเป็นรถposhe น้ำแข็ง เสร็จกินข้าวแล้วก็กลับโรงแรมนอน



13 ม.ค. 51 (วันสุดท้ายที่Harbin)
เช้านี้เราจะไปเล่นสกีกัน เป็นอะไรที่ประทับใจสุดในทริปนี้เลยก็ว่าได้ ใส่เสื้อหนาที่สุด 4 ชั้น กางเกงอีก 4 ชั้น นั่งรถไป2 ช.ม. สกีเออหลงซาน มาตอนแรกหนาวมาก แรกๆเดินแทบไม่ได้ต่อมาพอเริ่มชินก็ค่อยก้าวได้ พอเล่นไปทีแรกก็ล้มเลยครับ ต่อมาชักมันส์ล้มน้อยลง ไปเล่นบนจุดสูงสุดเลย ได้เสื้อเป็นตัวรับน้ำหนัก เสื้อส้มที่ใส่แล้วเหมือนมิชชิลินแมน ก็ช่วยได้เยอะ จนสุดท้ายขึ้นไปแล้วลงมาด้วยความเร็วสูง เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆตัดหน้าเบรคไม่ทันเกือบประสานงา เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆหน้าตาแค้นมากคงต้องระวังตัวไว้ อีกสิบปีอาจมีคนมาตามล้างแค้น เล่นจนไม่คิดว่าเหงื่อจะออกได้ในอุณหภูมิภายนอกติดลบขนาดนี้ เสื้อที่ใส่ไว้เริ่มอยากถอดมันออก จนเล่นเสร็จกลับเข้ามาจุดเปลี่ยนรองเท้าถอดออกหมด สักพักเหงื่อที่ติดที่ผมแข็งเป็นน้ำแข็งต้องกลับมาใส่เหมือนเดิม คนอื่นก็ไม่มีใครเหงื่อออกขนาดนี้ จากนั้นทริปบังคับให้ไปซื้อโสมก็ไม่มีใครสนใจจะซื้ออะไรสักเท่าไหร่ เราได้ช็อคโกแลตรัสเซียมา ท่าทางจะอร่อย กลับมาต่อด้วยสวนสตาลิน หนาวอีกแล้วทุกครั้งที่ลงจากรถ ตัวจะเหมือนมัมมี่เหลือแต่ลูกตา โผล่ออกมา เวลาถ่ายรูปแทบจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร แล้วก็ต่อด้วยช้อปปิ้ง ผ่านบาร์น้ำแข็งน่าสนใจ เข้าไปถ่ายรูปได้สักพักมีคนมารั้งตัว แล้วพูดไรก็ไม่รู้ไม่สนใจเดินออกมา ถึงได้รู้ว่าเขาเก็บตังค์ค่าถ่ายรูป 10 หยวน( 50 บาท) ต่อคน เล่นง่ายไม่บอกก่อน ถ้าบอกจะได้ไม่ถ่ายเลยไม่สนใจเดินออกมาเลย แต่พี่อีกสองคนไม่ทันโดนบังคับล้อมหน้าล้อมหลัง ก็โดนไป ตุ๊กตาแม่ลูกดกของฝากที่ขึ้นชื่อของที่นี่ เป็นตุ๊กตาไม้ที่พอเปิดออกมาก็จะมีตัวเล็กๆซ้อนไปเรื่อยๆ คืนนี้เล่นไพ่ทั้งที่ไม่เคยเล่นมาก่อน เล่นก็ไม่ค่อยจะเป็นดันดวงขึ้น แต่สุดท้ายก็เริ่มเสียไปเรื่อยๆ สุดท้ายได้มา 40 หยวน เจอpartner คนนึง เมาแล้วก็พูดภาษาอังกฤษตลอดพูดภาษาไทยไม่ได้แปลกดี นี่แหล่ะน้าน้ำเปลี่ยนนิสัย ก่อนหน้านี้เคยได้ยินแต่คนเขาพูดกันว่าเมาแล้วก็จะกลายเป็นคนอีกคนนึง ก็เพิ่งได้เห็นกับตาวันนี้เอง ที่นี่เราเองปกติก็ไม่ค่อยได้กินน้ำเมา แต่มาที่นี่เขากินเบียร์แทนน้ำกัน ก็ต้องตามน้ำไป เบียร์ที่นี่ ดีกรี 3% อ่อนกว่าเบียร์ที่เมืองไทยมากอยู่




14 ม.ค. 51

เช้านี้ออกเดินทางไปสู่เซี้ยงไฮ้ อากาศที่นี่ดีกว่า Harbin เยอะ เฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 5 องศา เจอไกด์ที่นี่ชื่อจั่นเจา มุขเยอะมากเริ่มจาก "ผมไม่เคยไปเมืองไทยแต่พูดภาษาไทยได้ เพราะเป็นคนสิบสองปันนา แต่คนไทยจะเรียกว่า 13 ปันใจ" สักพักนึงมาอีกวันนี้เราจะไปชมหอคอยไข่มุก แต่ผมพูดไม่ชัดทีแรกก็ไม่เข้าใจว่าคนไทยหัวเราะอะไรกัน คนที่ได้ยินก็จะประมาณว่า เราจะไปชมหัวค_ยไข่มุก แทน ไปเที่ยวหอคอยที่นี่สูง250กว่าชั้นถ้าจำไม่ผิด ใช้เวลาขึ้นลิฟท์ไม่ถึงนาที มาถึงจุดนี้จะเห็นทิวทัศน์โดยรอบของ Shienghai ได้จากมุมสูง แล้วก็จะมีความสูงของตึกกำกับ ตอนนี้กำลังแข่งกันเรื่องความสูงกับไต้หวันเพื่อเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก ที่นี่จะมีแต่ตึกสูงๆ ณ ปัจจุบันที่สูงสุดรู้สึกจะ101 ชั้น แอบถ่ายรูปกับพนักงานต้อนรับสาวจีนที่อยู่ในลิฟท์ที่นี่เขาฝึกมาสุดยอดมาก ตอนขาลงจะบรรยายเป็นภาษาจีน+ภาษาอังกฤษ ลงมาถึงก็บรรยายจบพอดี จากนั้นก็ต่อด้วย อุโมงค์เลเซอร์รอดใต้แม่น้ำที่เราไปหอคอยไข่มุกไปยังอีกฝั่งนึง ของแม่น้ำ ทริปนี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากถ่ายรูปครับถ่ายมันเข้าไป ขึ้นจากอุโมงค์ข้ามแม่น้ำมาเสร็จก็ถ่ายรูปกันต่ออีกจนเพลิน ตกดึกก็ไปกินอาหารมื้ออร่อยครับเรือมังกร เข้าไปแล้วอย่างกับดูหนังจีน กินมื้อนี้รู้สึกดีมีเป๊ปซี่ให้กิน ปกติจะมีแต่สไปร์ทมะนาว เก๊กท่าถ่ายรูปกับบัลลังก์มังกร แล้วก็ต่อด้วยค่ำคืนที่ไม่รู้จะทำไร เพราะเขาพาไปถนนที่มีแต่ผับที่ฝรั่งหรือคนรวยที่นั้นที่เข้าได้เพราะราคานี่น่าจุกจริงๆ ขึ้นไปที่หน้าโรงหนังของที่นี่มีรอยฝ่ามือ ของคนดังๆ ถ่ายได้แป่บเดียวก็มีคนมาไล่เพราะเขาไม่ให้ถ่าย เราก็อุตส่าห์ได้มาสองรูป มือของเฉินหลง ดาราคนโปรดและโจวชิงฉือ เสร็จก็เดินทางกลับที่พักไปซื้อมาม่ากัน ก็แวะซื้อของฝากด้วยเลย ลูกอมรสนมตรากระต่ายสมัยเด็กๆที่ชอบกิน กลับมาดีนะวันนี้ไม่ได้เล่นไพ่ วันนี้เจ้ามือ(พี่เลี้ยง)มือขึ้นมากทุกกินกันหมดวงเลย แต่ละคน กว่าจะได้นอนตีสองสำหรับวันนี้ วันสั่งลา



15 ม.ค. 51 (วันสุดท้ายสำหรับทริปนี้)


เช้านี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความผวาเพราะว่าดันดูเวลาผิดวันนี้เขาอุตส่าห์กำชับว่าอย่าสาย วันนี้เราก็ดันดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือด้วยเข็มปกติ(นาฬิกาตั้งเข็มเป็นเวลาไทย ดิจิตอลเป็นเวลาจีน)ดันลืมไปดูเวลาตามเข็ม นึกว่าเพิ่ง6.30น.(เวลาจริงเป็น 7.30 น.เวลาที่จีน เวลาที่นี่กับไทยห่างกัน1 ชม.) ตื่นมาน้ำแทบไม่ได้อาบแปรงฟันแล้วก็เก็บข้าวของ เกือบไม่ได้กินข้าวเช้า ลงไปเขากินกันเสร็จหมดแล้ว เกือบซวยซะแล้วเรา เช้าวันนี้ฝนตกที่หน้าต่าง(เซี้ยงไฮ้) มาคราวนี้ครบรสชาติ ทั้งหนาวทั้งฝน เพื่อนชวนไปดูห้องน้ำที่โรงแรมเห็นแล้วแปลกตาดีแท้อย่างกับส้วมเรืองแสง ทั้งโถฉี่ทั้งห้องน้ำเป็นไฟสะท้อนแสงวันนี้แวะวัดพระหยกขาว ตำนานคร่าวๆประมาณว่าเจ้าของได้หยกมาห้าชิ้นแล้วจะย้ายไปที่อื่น สามชิ้นเอา มาปั้นเป็นพระหรืออะไรประมาณนี้ แต่ละองค์ใหญ่มากแต่องค์ที่ใหญ่ที่สุดไม่รู้ทำไมเขาห้ามถ่ายรูป ที่นี่จะมีรูปพระจี้กงไม้ ซึ่งเขาบอกว่าบางมุมจะเห็นว่าหน้าบึ้งแต่ก็มองยังไงก็ยิ้ม ไม่รู้เขาต้องมองมุมไหนกัน จากนั้นก็พาไปดูร้านขายมุก การตลาดเขาดีจริงๆเขาผ่าให้ดูก่อนว่าวิธีเอามุกออกจากหอยทำยังไง แล้วคิดว่ามีไข่มุกกี่เม็ดในเปลือกหอย เราก็นึกว่ามีเม็ดเดียวมาตลอด ผ่าออกมาไม่แน่ใจว่า 33หรือ 43 เม็ด เขาว่าถ้าเม็ดไหนไม่ดีก็จะเอามาทำครีมไข่มุก เพิ่งรู้วิธีดูว่ามุกแท้หรือเปล่าให้ขูดกับกระจกถ้ามีผงออกมาคือมุกจริง จากนั้นก็เข้าสู่การขาย ไอ้เราก็ไม่รู้จะซื้อไปให้ใครก็เลยกลับมานั่งรอในรถ ต่อไปก็แหล่งช็อปปิ้งสุดท้าย ก็เกาะกลุ่มกันไปเพื่อการต่อราคา ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องอาศัยไปพร้อมพี่นก(Symantec) เพราะพี่เขาเคยมาเรียนภาษาจีน พูดได้อยู่ ราคาไม่ค่อยถูกใจนักแต่ละที่คงเหมือนคนไทยขายของฝรั่งราคาแพง สุดท้ายมาถูกใจที่ร้านสองหยวน ทุกอย่างสองหยวนหมด นี่แหล่ะที่ต้องการของฝากเพื่อนส่วนใหญ่ก็ได้มาจากที่นี่แหล่ะ ทั้งน้องที่เรียนโท เพื่อนที่พระนครเหนือก็ได้นี่แหล่ะแหล่งของฝากที่ดีที่สุด ได้มาเต็มถุงเลย สถานที่ต่อไปก็ที่ร้านสมุนไพรจีน ที่นี่ส่วนใหญ่รัฐบาลจีนจะมีสัญญากับทางทัวร์ว่าต้องพาไปก็ได้แก่ สวนสมุนไพรจีนนี่แหล่ะ ร้านโสม ร้านไข่มุก ที่สวนสมุนไพรที่นี่ที่ดังๆก็คงเป็นบัวหิมะ(เป่าฟู่หลิง)ที่สมัยแก๊สระเบิดที่ถ.เพชรบุรีทางรัฐบาลจีนส่งมาช่วย แล้วทำให้คนไทยส่วนใหญ่รู้จักกันถึงทุกวันนี้ในสรรพคุณของยา เขาจะให้เด็กๆที่บอกว่าเป็นนักเรียนมานวดเท้าให้แล้วก็บอกว่านวดฟรี จริงๆที่ได้ยินมาคนที่นวดแล้วคนซื้อน่าจะได้เปอร์เซ็นต์ คนที่นวดเราก็ไม่ค่อยมีแรงนวดเลย เหมือนนวดไปงั้น สุดท้ายก็มาขึ้นรถไฟหัวจรวดความเร็ว ช่วงกลางวัน 550 กม./ชม. ช่วงกลางคืน 301 กม./ชม. ระยะทางจากที่นั่นไปที่สนามบิน ระยะทาง 50 กม.ได้ ใช้เวลา 7 นาที ถึงสนามบินก็นั่งรวบรวมรูปจากกล้องของแต่ละคนมารวมกัน รวมแล้วคร่าวๆ 16 GB จากกล้องเกือบสิบตัวไม่รู้จะเอามารวมยังไงกันดี สุดท้ายคงต้องไร้ท์ DVD ขึ้นเครื่องกลับมาที่กรุงเทพเกือบตีสอง สโหลสเหลเต็มทน ติดรถตั้มมาลงแถวอนุสาวรีย์ เหยียบซะ 180 อืม ก็เร็วดี ถึงบ้านตีสาม ก็จัดของพร้อมทำงานวันรุ่งขึ้นอีกไม่กี่ชม. และแล้วทริปนี้ก็จบลง ฝันก็เป็นจริงกับหิมะสกี และการเดินทางที่อาจจะเป็นเพียงครั้งเดียวในชีวิตก็ผ่านไป อากาศที่หนาวจนจับใจ ขี้ร้อนอย่างเราก็คงไม่ได้สัมผัสอีกง่ายๆ บรรยากาศช่องFreeze ขนาดใหญ่ กินเบียร์แทนน้ำก็ผ่านไป กลับมาเจอกับงานหนักหัว เรียนหนักอึ้งอีกครั้ง การท่องเที่ยวไปในโลกกว้างได้เจอสิ่งใหม่ๆในชีวิตก็เหมือนการชาร์ตแบตให้กับชีวิตให้มีกำลังมาทำสิ่งต่างๆอีกครั้ง และครั้งนี้คงเป็นอีกครั้งที่คงจะจำไปอีกนาน

1 ความคิดเห็น:

Leona S. Kennedy กล่าวว่า...

" เจอpartner คนนึง เมาแล้วก็พูดภาษาอังกฤษตลอดพูดภาษาไทยไม่ได้แปลกดี นี่แหล่ะน้าน้ำเปลี่ยนนิสัย ก่อนหน้านี้เคยได้ยินแต่คนเขาพูดกันว่าเมาแล้วก็จะกลายเป็นคนอีกคนนึง ก็เพิ่งได้เห็นกับตาวันนี้เอง "

โอ๊ยโหย๋ .. เห็นภาพเลย ขอบคุณนะคะ จะถือว่าเป็นคำชม
(- -")